5 เรื่องที่คุณควรรู้ เกี่ยวกับ “โรคพยาธิในเม็ดเลือด” จากเห็บตัวจิ๋ว ภัยเงียบที่น่ากลัวกว่าที่คิด (อัปเดท 2025)

Apr 10, 2025
การรับเลี้ยงและการดูแล
5 เรื่องที่คุณควรรู้ เกี่ยวกับ “โรคพยาธิในเม็ดเลือด” จากเห็บตัวจิ๋ว ภัยเงียบที่น่ากลัวกว่าที่คิด (อัปเดท 2025)

🐶 ไวรัลวันนี้! หมา-แมวไทย

ที่มา: Google News

5 เรื่องที่คุณควรรู้ เกี่ยวกับ “โรคพยาธิในเม็ดเลือด” จากเห็บตัวจิ๋ว ภัยเงียบที่น่ากลัวกว่าที่คิด

ถ้าคุณเคยได้ยินชื่อ “พยาธิในเม็ดเลือด” แล้วรู้สึกว่าน่าจะเป็นโรคเฉพาะในหมาที่ถูกเห็บกัดเยอะๆ คุณคิดไม่ผิดครับ
แต่ที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือ โรคนี้ชื่อทางการคือ “Ehrlichiosis” (เออไลคีโอซิส) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่อันตรายมาก และสามารถเกิดได้แม้ในหมาที่ดูสุขภาพแข็งแรง

โรคนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรคที่แพร่ผ่าน “เห็บสุนัขสีน้ำตาล” ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในเมืองไทย
และอาจทำให้เม็ดเลือดขาวของสุนัขทำงานผิดปกติจนส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน เลือด และอวัยวะอื่นๆ

วันนี้ผมเลยอยากชวนคุณมารู้จัก 5 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับโรคพยาธิในเม็ดเลือด ที่เจ้าของหมาทุกคนควรรู้ เพื่อป้องกันได้ทันก่อนจะสายครับ


1. โรคพยาธิในเม็ดเลือดเกิดจาก “แบคทีเรียในเห็บ” ไม่ใช่พยาธิจริงๆ

แม้จะเรียกว่า “พยาธิในเม็ดเลือด” แต่จริงๆ แล้วเกิดจากแบคทีเรียชื่อ Ehrlichia canis ที่อาศัยอยู่ในน้ำลายของเห็บ
เมื่อเห็บกัด หมาจะติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง และเชื้อจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว

กลุ่มเสี่ยง:

  • สุนัขที่อยู่ในพื้นที่มีเห็บชุกชุม

  • สุนัขที่ไม่เคยป้องกันเห็บด้วยยา

  • พันธุ์ใหญ่ที่เลี้ยงแบบกึ่งนอกบ้าน เช่น ลาบราดอร์, เยอรมันเชฟเฟิร์ด

Fact: ข้อมูลจากโรงพยาบาลสัตว์จุฬาฯ ระบุว่า มีสุนัขป่วยด้วยโรคนี้เฉลี่ยมากกว่า 1,000 ตัวต่อปี เฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล


2. อาการของโรคพยาธิในเม็ดเลือด “หลอกตา” และบางครั้งก็แทบไม่แสดงเลย

อาการของโรคนี้มีหลายระยะ และแตกต่างกันในแต่ละตัว
บางตัวอาจแค่ซึมเล็กน้อย บางตัวอาจแสดงอาการชัดเจน เช่น มีจ้ำเลือดบนผิวหนัง หรือเลือดกำเดาไหล

อาการที่ควรระวัง:

  • ซึม เบื่ออาหาร

  • มีไข้ต่ำเรื้อรัง

  • น้ำหนักลด

  • เลือดกำเดาไหล เหงือกซีด

  • มีจ้ำเลือดแดงหรือม่วงตามผิวหนัง

  • ตาแดง หรือมีเลือดออกในตา

Tip: หากน้องหมาแสดงอาการข้างต้นควบคู่กับมีเห็บติดตัว หรือมีประวัติอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรตรวจเลือดทันที


3. การวินิจฉัยทำได้ด้วยการตรวจเลือด และ “รู้เร็ว = รักษาหาย”

การตรวจโรคนี้ไม่ซับซ้อน แค่เจาะเลือดแล้วตรวจหาเชื้อด้วยวิธี PCR หรือสไลด์เลือด
หากพบเชื้อเร็วและเริ่มให้ยาทันที โอกาสหายขาดมีสูงมาก

แนวทางการรักษา:

  • ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Doxycycline ต่อเนื่อง 3–4 สัปดาห์

  • ตรวจเลือดซ้ำเพื่อยืนยันว่าหายขาด

  • หากเป็นระยะเรื้อรัง อาจต้องให้ยากระตุ้นไขกระดูกหรือให้เลือด

Fact: หากปล่อยให้เชื้ออยู่ในร่างกายนานโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะ “ไขกระดูกไม่ทำงาน” ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้


4. ไม่ป้องกันเห็บ = เพิ่มโอกาสติดโรคแบบไม่รู้ตัว

โรคนี้ไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการดูแลไม่ให้เห็บมากัดน้องหมา
ซึ่งวิธีที่ได้ผลที่สุดคือ “การให้ยากำจัดเห็บเป็นประจำ”

วิธีป้องกัน:

  • ให้ยาหยอดเห็บ/ยากินทุก 1 เดือน

  • ตรวจดูตามข้อพับ ขาหนีบ ซอกหูเป็นประจำ

  • ทำความสะอาดบริเวณที่น้องหมานอน

  • พ่นยากำจัดเห็บในบริเวณบ้านเป็นระยะ

Tip: ยากำจัดเห็บที่มีฤทธิ์ฆ่าได้ทั้งไข่ เห็บตัวอ่อน และเห็บโต จะช่วยลดการติดเชื้อซ้ำในระยะยาวได้ดีที่สุด


5. โรคนี้อาจทำให้ “หมาเสียชีวิต” ถ้าเป็นระยะท้าย และยังอาจติดเชื้อซ้ำได้อีก

แม้โรคนี้จะรักษาได้ แต่หากน้องหมาเข้าสู่ระยะเรื้อรัง (chronic phase)
ระบบเลือดและภูมิคุ้มกันจะเสียสมดุลจนอวัยวะภายในถูกทำลาย

ความเสี่ยงในระยะเรื้อรัง:

  • ไขกระดูกหยุดผลิตเม็ดเลือด

  • ตับและไตเสื่อมจากภาวะติดเชื้อ

  • เสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อน

  • ระบบภูมิคุ้มกันล้มเหลว

Fact: สุนัขที่เคยเป็นโรคนี้แล้ว “ยังสามารถติดซ้ำได้” หากได้รับเชื้อจากเห็บอีก เพราะร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันถาวร


“โรคพยาธิในเม็ดเลือด” หรือ Ehrlichiosis คือโรคที่มาเงียบๆ จากเห็บตัวเล็ก
แต่ส่งผลต่อสุขภาพน้องหมาอย่างใหญ่หลวง ถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้น้องหมาแข็งแรงยาวนาน
การป้องกันเห็บอย่างสม่ำเสมอ และพาไปตรวจเลือดทุกปี คือสิ่งที่เจ้าของมือโปรไม่ควรมองข้ามครับ #พยาธิในเม็ดเลือด #หมาเห็บกัด #หมาเลือดออก #ดูแลหมาอย่างมือโปร #LazadogCareTips


อยากรู้วิธีดูแลน้องหมาให้มีความสุขในทุกวัน?
ติดตามบทความน่ารักๆ แบบนี้ได้ที่ Lazadog.com/blog
หรือแชร์ประสบการณ์กับเราได้ในคอมเมนต์ด้านล่างเลยครับ

by Prasobsook Saisud – Founder Lazadog.com


Doglala - Social for Pet Lovers

Doglala – Social for Pet Lovers doglala.com

Recent Posts