5 ข้อควรรู้! แมวขี้ตาเขียวไม่ใช่แค่หวัด แต่อาจติด “ชลามัยเดีย” โรคตาที่คุณต้องจับตา (จริงๆ) (อัปเดท 2025)

Apr 20, 2025
healthy สุขภาพ
5 ข้อควรรู้! แมวขี้ตาเขียวไม่ใช่แค่หวัด แต่อาจติด “ชลามัยเดีย” โรคตาที่คุณต้องจับตา (จริงๆ) (อัปเดท 2025)

🐶 ไวรัลวันนี้! หมา-แมวไทย

ที่มา: Google News

5 ข้อควรรู้! แมวขี้ตาเขียวไม่ใช่แค่หวัด แต่อาจติด “ชลามัยเดีย” โรคตาที่คุณต้องจับตา (จริงๆ)

เคยเห็นแมวที่ขี้ตาเขียวๆ แดงๆ บวมๆ แล้วนึกว่า “แมวคงแพ้ฝุ่น” หรือ “เป็นหวัดแมวธรรมดา” ไหมครับ?

แต่รู้หรือไม่...อาการแบบนั้นอาจมาจาก “โรคติดเชื้อชลามัยเดีย (Chlamydia felis)” ซึ่งฟังชื่อแล้วเหมือนโรคของคนนิดๆ แต่บอกเลยว่าในแมวก็ไม่ใช่เล่น!

โรคนี้พบได้บ่อย โดยเฉพาะในแมวเด็ก แมวที่อยู่รวมกันเยอะ หรือแมวจากฟาร์ม/ศูนย์พักพิง และถ้าไม่รักษาไว ก็ลามจากตาไปทั้งระบบได้เลย

วันนี้ผมจะพาไปเจาะ 5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคชลามัยเดียในแมว ที่เจ้าของต้องรู้ไว้ก่อนจะสายเกินไปครับ!


1. โรคชลามัยเดียในแมว คืออะไร?

ชลามัยเดีย (Chlamydia felis) เป็นแบคทีเรียกึ่งไวรัสกึ่งจอมลอบกัด
มันชอบเล่นงานเยื่อตาและทางเดินหายใจส่วนต้นของแมว ทำให้ตาแดง บวม มีขี้ตาเยอะ และบางตัวอาจเริ่มไอ/จาม

“แมวที่ติดเชื้อชลามัยเดียมากถึง 30–60% จะมีอาการเยื่อตาอักเสบเรื้อรัง”
Journal of Feline Medicine and Surgery, 2021

ติดต่อได้อย่างไร?

  • ผ่านการสัมผัสโดยตรง (เช่น เลียกัน เล่นกัน)

  • ผ่านการใช้ของร่วม เช่น ชาม อุปกรณ์ แปรงขน

  • ลูกแมวสามารถติดจากแม่ได้ตั้งแต่แรกเกิด


2. อาการชัดๆ ที่ต้องสงสัยว่าแมวติด “ชลามัยเดีย”

แมวที่ติดเชื้อจะเริ่มจากตาข้างหนึ่งก่อน แล้วลามไปอีกข้าง
ถ้าไม่รักษาจะเริ่มอักเสบเรื้อรัง และอาจมีอาการระบบอื่นตามมา

อาการทั่วไป:

  • ตาแดง ขอบตาบวม

  • ขี้ตาเหนียว สีเขียวหรือเหลือง

  • ตาปรือ ลืมตาไม่ได้

  • จามบ่อย น้ำมูกไหล

  • เบื่ออาหาร (จากอาการไม่สบายตัว)

“แมวที่ไม่ได้รับการรักษาในช่วง 7 วันแรกของการติดเชื้อ มีโอกาสกลายเป็นพาหะเรื้อรังได้มากถึง 70%”
Feline Infectious Disease Review, 2020


3. วิธีวินิจฉัยและรักษา แมวจะรอดถ้ารู้เร็ว!

การวินิจฉัยต้องแยกออกจากโรคหวัดแมวทั่วไป เช่น herpesvirus หรือ calicivirus
สัตวแพทย์จะเก็บสารคัดหลั่งจากตา ส่งตรวจ PCR หรือส่องจุลินทรีย์

การรักษาหลัก:

  • ยาปฏิชีวนะ เช่น Doxycycline หรือ Azithromycin

  • ยาหยอดตาต้านเชื้อ

  • ดูแลระบบภูมิคุ้มกัน: อาหารดี น้ำสะอาด ไม่เครียด

  • รักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 2–4 สัปดาห์

ข้อควรรู้:

  • แมวที่อยู่ในบ้านเดียวกันควรได้รับการตรวจด้วย

  • ควรกักตัวแมวป่วยไม่ให้แพร่เชื้อ


4. ป้องกันได้ด้วย “วัคซีนหวัดแมว” ที่บางคนอาจมองข้าม

ในประเทศไทย วัคซีน FVRCP (หวัดแมวรวม) จะครอบคลุมบางสายพันธุ์ของชลามัยเดีย
แม้จะไม่ 100% แต่ก็ลดโอกาสติดเชื้อ และทำให้อาการเบาลงอย่างมาก

แนะนำ:

  • เริ่มฉีดวัคซีนตอนอายุ 8–9 สัปดาห์

  • ฉีดกระตุ้นตามตารางทุกปี

  • แมวในบ้านหลายตัวควรได้รับวัคซีนครบทุกตัว


5. แม้จะหายแล้ว แต่ “แมวอาจยังแพร่เชื้อได้” ต้องระวัง!

โรคนี้มี “ฟอร์มลับ” คือแมวบางตัวหายอาการแล้ว แต่ยังเป็นพาหะเงียบได้
สามารถแพร่เชื้อผ่านขี้ตาหรือน้ำมูกโดยที่ดูเหมือนไม่ป่วย

คำแนะนำสำหรับเจ้าของ:

  • ล้างมือหลังจับแมวป่วย

  • แยกของใช้แมวอย่างชามน้ำ แปรง และผ้า

  • ค่อยๆ แนะนำตัวใหม่หลังหายป่วย

  • ทำความสะอาดพื้นที่และกรงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ


โรคชลามัยเดียในแมวอาจดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่ถ้าปล่อยไว้…
ก็กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทั้งแมวและคนเลี้ยงต้องเหนื่อยใจ

รู้ไว รักษาไว ป้องกันด้วยวัคซีน = ทางรอดที่แมวจะไม่ต้องปวดตา และเจ้าของไม่ต้องปวดหัว!


❝ตาแดง ไม่ใช่แค่แมวร้องไห้…แต่อาจติดเชื้อชลามัยเดีย❞


#แมวตาแดง #ชลามัยเดียในแมว #ขี้ตาแมว #หวัดแมวต้องระวัง #แมวแพร่เชื้อได้ #Lazadogรู้ใจแมว


อยากรู้วิธีดูแลน้องหมา&แมวให้มีความสุขในทุกวัน?
ติดตามบทความน่ารักๆ แบบนี้ได้ที่ Lazadog.com/blog
หรือแชร์ประสบการณ์กับเราได้ในคอมเมนต์ด้านล่างเลยครับ

by Prasobsook Saisud – Founder Lazadog.com


Doglala - Social for Pet Lovers

Doglala – Social for Pet Lovers doglala.com

Recent Posts