5 ข้อควรรู้! แมวก็เป็นฮีโร่ได้ กับบทบาท “ผู้บริจาคเลือด” ที่หลายคนมองข้าม
ถ้าคุณคิดว่า “แมวเป็นได้แค่ผู้รับความรัก” คุณกำลังพลาดอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของเจ้าเหมียวเลยครับ
เพราะตอนนี้แมวของคุณอาจกลายเป็น ผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ได้ ด้วยการเป็น “ผู้บริจาคเลือด” ช่วยชีวิตแมวตัวอื่นในยามฉุกเฉิน
ใช่แล้วครับ! แมวบริจาคเลือดได้จริง และแมวสุขภาพดีหลายตัวในไทยก็ได้ช่วยชีวิตเพื่อนแมวมาแล้วมากมาย
บทความนี้จะพาคุณไปรู้ลึกว่า แมวแบบไหนที่เหมาะจะเป็นผู้บริจาคเลือด? ทำอย่างไร? ปลอดภัยแค่ไหน?
และทำไมเจ้าของแมวทุกคนควรอ่านบทความนี้ให้จบ (ไม่ต้องเขินครับ อ่านแล้วเท่!)
แมวต้องได้รับเลือดในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับ “ภาวะโลหิตจางรุนแรง” หรือ “การเสียเลือดจำนวนมาก”
การให้เลือดคือ “ทางรอดสุดท้าย” ที่ช่วยให้แมวบางตัวรอดกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง
สถานการณ์ที่แมวอาจต้องรับเลือด:
อุบัติเหตุ บาดเจ็บ เสียเลือดเยอะ
โรคโลหิตจางจากพยาธิเม็ดเลือด
ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ
หลังผ่าตัดใหญ่ หรือเจ็บป่วยเรื้อรังบางชนิด
“กว่า 70% ของแมวที่ได้รับเลือดทันเวลา มีอัตรารอดชีวิตและฟื้นตัวดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง”
– Feline Emergency Medicine Review, 2022
ไม่ใช่ทุกตัวจะบริจาคได้ แมวต้องผ่านเกณฑ์สุขภาพและคุณสมบัติบางอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับ
คุณสมบัติของแมวบริจาคเลือด:
อายุระหว่าง 1–8 ปี
น้ำหนักมากกว่า 4.5 กิโลกรัม
สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคเรื้อรัง
ได้รับวัคซีนครบ ไม่มีพยาธิในเลือด
ไม่เคยรับเลือดจากแมวตัวอื่นมาก่อน
ไม่ตั้งท้อง หรือให้นมลูก
ข้อควรรู้:
แมวบางพันธุ์ เช่น เมนคูน หรือบริติช ช็อตแฮร์ มักมีน้ำหนักและสุขภาพเหมาะกับการบริจาคมาก
ฟังดูเหมือนจะน่ากลัว...แต่ความจริงคือการบริจาคเลือดแมว ปลอดภัยและควบคุมโดยสัตวแพทย์เท่านั้น
และใช้อุปกรณ์ปลอดเชื้อทุกขั้นตอน
ขั้นตอนการบริจาคเลือดแมว:
ตรวจร่างกาย + ตรวจเลือดเบื้องต้น
ตรวจหมู่เลือด และจับคู่กับแมวผู้รับ
ให้ยาระงับประสาทเล็กน้อย เพื่อไม่ให้แมวเครียด
เจาะเลือดผ่านหลอดเลือดดำบริเวณคอ (ใช้เวลา 10–20 นาที)
ดูแลแมวหลังบริจาค เช่น ให้อาหาร นอนพัก เติมน้ำ
ปริมาณเลือดที่บริจาค: ไม่เกิน 10–12 มล./น้ำหนักตัว 1 กก.
ซึ่งแมวที่หนัก 5 กก. จะบริจาคประมาณ 50–60 มล. และฟื้นตัวได้ใน 24–48 ชม.
“ไม่มีหลักฐานว่าการบริจาคเลือดภายใต้การควบคุมจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพแมว”
– Veterinary Transfusion Guidelines, 2021
แมวที่สุขภาพดีสามารถบริจาคเลือดได้ทุก 2–3 เดือน
โดยต้องมีการตรวจสุขภาพก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางจากการบริจาคบ่อยเกินไป
การดูแลแมวหลังบริจาค:
ให้พักผ่อนในที่เงียบและสบาย
ให้น้ำและอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับไก่ (ปรุงสุก)
สังเกตอาการ เช่น ซึม อ่อนแรง ถ้ามีควรพบสัตวแพทย์
ห้ามให้บริจาคซ้ำถ้าแมวเคยมีภาวะแทรกซ้อนหลังบริจาค
คำแนะนำ: แมวที่บริจาคเลือดควรรับอาหารสูตรเสริมธาตุเหล็ก หรือวิตามินบีรวมร่วมด้วยหลังการบริจาค 1–3 วัน
ใช่ครับ...แมวไม่ได้ได้แค่บุญอย่างเดียวนะ
หลายคลินิกสัตวแพทย์มีโปรแกรมขอบคุณแมวฮีโร่ด้วย เช่น
สิทธิพิเศษของแมวบริจาคเลือด (แล้วแต่สถานที่):
ตรวจสุขภาพฟรี
วัคซีนประจำปีฟรี
อาหารเสริมฟรี
ของเล่น ของขวัญน่ารัก
ถ่ายพยาธิ หรือทำหมันฟรี (บางโปรแกรม)
และที่สำคัญที่สุด...คือคุณจะได้เป็นเจ้าของแมว “ผู้ช่วยชีวิต” ที่อาจเปลี่ยนชีวิตของแมวอีกตัวได้ตลอดไป
การบริจาคเลือดในแมวอาจฟังดูแปลกในตอนแรก แต่ความจริงคือ หนึ่งในภารกิจที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับแมวสุขภาพดี
ไม่เพียงช่วยเพื่อนแมวที่กำลังต้องการชีวิตใหม่ แต่ยังทำให้เจ้าของได้ภาคภูมิใจว่า “เจ้าเหมียวของเรา คือฮีโร่ตัวจริง”
เพราะเลือดหยดเดียว...อาจเปลี่ยนชีวิตแมวตัวหนึ่งไปตลอดกาล
❝แมวก็เป็นฮีโร่ได้...แค่คุณให้โอกาส!❞
#แมวบริจาคเลือด #ฮีโร่4ขา #เลือดแมวช่วยชีวิต #แมวสุขภาพดีบริจาคได้ #Lazadogรู้ใจแมว
อยากรู้วิธีดูแลน้องหมา&แมวให้มีความสุขในทุกวัน?
ติดตามบทความน่ารักๆ แบบนี้ได้ที่ Lazadog.com/blog
หรือแชร์ประสบการณ์กับเราได้ในคอมเมนต์ด้านล่างเลยครับ
by Prasobsook Saisud – Founder Lazadog.com
Doglala – Social for Pet Lovers doglala.com