5 ข้อควรรู้! การให้เลือดแมวไม่ใช่เรื่องไกลตัว ถ้ารู้ทันก็ช่วยชีวิตได้ทันเวลา
คุณอาจจะไม่เคยนึกภาพว่า “แมวต้องรับเลือด” จะเป็นเรื่องจริง
แต่ในทางสัตวแพทย์ การให้เลือดแมวคือ “เครื่องมือฉุกเฉินที่ช่วยชีวิตได้ทันที”
ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุ โลหิตจางเฉียบพลัน หรือโรคเรื้อรังที่ทำให้ร่างกายขาดเซลล์เม็ดเลือดแดง
บทความนี้จะพาคุณมารู้ลึก รู้จริงว่า การให้เลือดแมวคืออะไร ทำยังไง และต้องระวังอะไรบ้าง
เพราะในโลกของแมว “เลือดดีคือชีวิตดี”
การให้เลือดแมว (Blood Transfusion) คือการนำเลือดจากแมวผู้บริจาคมาให้กับแมวผู้ป่วย
เพื่อเพิ่มปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดง หรือเกล็ดเลือดในกรณีที่ร่างกายขาดเลือดเฉียบพลัน
สาเหตุที่แมวอาจต้องได้รับเลือด:
อุบัติเหตุเลือดออกภายใน
โรคโลหิตจางจากเชื้อ Hemobartonella
ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (Autoimmune Hemolytic Anemia)
โรคไตระยะท้าย
ผ่าตัดใหญ่ที่มีเลือดออกเยอะ
“การให้เลือดช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตในแมวที่มีภาวะโลหิตจางเฉียบพลันได้ถึง 60–80%”
– Journal of Feline Medicine and Surgery, 2022
ต่างจากคนที่มี A, B, AB, O... แมวมีหมู่เลือดหลักๆ แค่ 3 กลุ่ม คือ A, B และ AB
และการให้เลือดผิดหมู่ อาจทำให้แมว “ช็อก” หรือ “ตายได้ภายในไม่กี่นาที”
หมู่เลือดแมวที่พบบ่อยในไทย:
หมู่ A: พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 94% ของแมวในไทย)
หมู่ B: พบในแมวบางสายพันธุ์ เช่น บริติช ช็อตแฮร์
หมู่ AB: หายากมาก
เคล็ดลับ:
ก่อนให้เลือดแมวทุกครั้งต้อง “ตรวจหมู่เลือด” และ “ทำการจับคู่เลือด (crossmatch)” เพื่อความปลอดภัย
“การให้เลือดผิดหมู่ในแมวอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงภายใน 1 ชั่วโมง”
– Veterinary Hematology Guide, 2021
ใช่ครับ แมวก็สามารถเป็น “ผู้บริจาคเลือด” ช่วยชีวิตแมวตัวอื่นได้
แต่ต้องผ่านการคัดกรองสุขภาพ และมีน้ำหนักตัวพอสมควร
เงื่อนไขแมวบริจาคเลือด:
น้ำหนักมากกว่า 4.5 กก.
อายุมากกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 8 ปี
สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคเรื้อรัง
ฉีดวัคซีนครบ ไม่มีพยาธิในเลือด
ไม่เคยได้รับเลือดมาก่อน
แมวบริจาค 1 ครั้ง = ช่วยแมวป่วยได้ 1-2 ตัว
และสามารถบริจาคได้ทุก 2-3 เดือน (ต้องได้รับการดูแลหลังบริจาค)
การให้เลือดแมวต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์เท่านั้น
โดยเลือดจะถูกให้ผ่านหลอดเลือดดำ ใช้เวลาประมาณ 1–4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณและอาการของแมว
อาการข้างเคียงที่อาจเกิด:
มีไข้ ตัวร้อน
หายใจเร็ว หอบ
อาเจียน
ช็อก (ในกรณีแพ้รุนแรง)
ภูมิคุ้มกันทำลายเลือดที่ได้รับในภายหลัง (Delayed Reaction)
การเฝ้าระวัง:
ตรวจสัญญาณชีพทุก 15 นาทีในชั่วโมงแรก
หยุดทันทีหากพบอาการผิดปกติ
ตรวจเลือดซ้ำหลังให้เลือดภายใน 24 ชม.
“อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังให้เลือดในแมวอยู่ที่ 10–15% ซึ่งส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้หากตรวจเช็กไว”
– Companion Animal Transfusion Report, 2023
แมวที่เคยได้รับเลือด ไม่ใช่เรื่องจบแล้วจบเลยนะครับ ต้องมีการติดตามผล
เพราะในบางกรณี ร่างกายแมวอาจสร้างภูมิต้านเลือดที่ได้รับ และอาจมีอาการผิดปกติตามมา
การดูแลหลังให้เลือด:
ตรวจเลือดซ้ำเพื่อเช็กความเข้มข้นของเม็ดเลือด
สังเกตพฤติกรรมแมวว่ากลับมาเล่น กินปกติหรือยัง
พาไปตรวจสุขภาพตามนัด
หากมีอาการซีด หอบ หรือไม่กินซ้ำ = ต้องแจ้งหมอทันที
คำแนะนำ: เก็บประวัติการให้เลือดไว้ และแจ้งสัตวแพทย์ทุกครั้งเมื่อไปโรงพยาบาลในอนาคต
การให้เลือดในแมวอาจฟังดูไกลตัว แต่ความจริงคือ “การช่วยชีวิตที่เจ้าของต้องรู้ไว้ล่วงหน้า”
รู้หมู่เลือดแมวไว้ เตรียมแมวบริจาคไว้ในกรณีฉุกเฉิน และเข้าใจวิธีดูแลอย่างถูกต้อง คือทางรอดของแมวที่คุณรัก
เลือดหยดเดียวอาจเปลี่ยนชีวิตแมวได้ทั้งชีวิต ถ้าคุณรู้ทันและกล้าช่วยเหลือ!
❝แมวให้เลือดได้...แมวก็ช่วยแมวได้❞
#ให้เลือดแมว #แมวบริจาคเลือด #เลือดแมวหมู่A #แมวโลหิตจาง #ช่วยชีวิตแมว #สุขภาพแมว #Lazadogรู้ใจแมว
อยากรู้วิธีดูแลน้องหมา&แมวให้มีความสุขในทุกวัน?
ติดตามบทความน่ารักๆ แบบนี้ได้ที่ Lazadog.com/blog
หรือแชร์ประสบการณ์กับเราได้ในคอมเมนต์ด้านล่างเลยครับ
by Prasobsook Saisud – Founder Lazadog.com