เผย 5 ข้อมูลเชิงลึก! แมวคันไม่หยุด อาจเจอตัวไรจิ๋วที่ชื่อว่า “ไรส้ม” (Trombiculiasis) โดยที่คุณไม่เคยรู้ตัวมาก่อน!
ลองจินตนาการว่า…
แมวคุณอยู่ดีๆ ก็คัน หันไปเลีย หันไปกัด หงุดหงิด ขนร่วงเป็นหย่อมๆ
แต่พอพาไปหาหมอ กลับไม่เจอเห็บ ไม่เจอหมัด แล้วอะไรกันล่ะที่ทำให้น้องคันขนาดนี้?
คำตอบอาจอยู่ที่สิ่งมีชีวิตจิ๋วๆ ที่ชื่อว่า ไรส้ม (Trombiculid mite)
หรืออีกชื่อแบบเป็นทางการว่า Trombiculiasis — โรคผิวหนังที่เกิดจากตัวไรกลุ่มหนึ่งที่เรามักมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
วันนี้ผมจะพาคุณไปรู้จักกับ “ผู้ร้ายตัวจิ๋วแต่คันขั้นสุด” ตัวนี้ พร้อมเทคนิคการดูแลและป้องกันแมวสุดที่รักจากเจ้าตัวแสบอย่างละเอียดแบบไม่มีกั๊กครับ
Trombiculiasis เป็นชื่อของโรคที่เกิดจากการถูกตัวอ่อนของ ไรส้ม (chigger mites) กัด
ตัวไรพวกนี้มีวงจรชีวิตในธรรมชาติ มักพบในหญ้า พื้นดินที่ชื้น หรือบริเวณที่มีสัตว์ป่าอาศัย
“ตัวอ่อนของไรส้มจะขึ้นมากัดผิวหนังของสัตว์เลี้ยงเพื่อกินเนื้อเยื่อเป็นอาหาร แล้วหลุดออกไปในเวลาไม่กี่วัน แต่ทิ้งอาการคันและการอักเสบไว้เบื้องหลัง”
– ข้อมูลจาก Cornell University College of Veterinary Medicine
ข้อควรรู้:
Trombiculiasis มักเกิดในช่วงฤดูฝนหรือปลายฝนต้นหนาว ที่อากาศชื้นและไรส้มเจริญเติบโตได้ดี
แมวที่ติดไรส้มมักมีอาการคล้ายโรคผิวหนังทั่วไป แต่มีจุดเด่นเฉพาะ เช่น:
คันมาก! เลีย กัด ถูตัวกับพื้นแบบรัวๆ
ผิวหนังแดง มีตุ่ม หรือแผลถลอกเล็กๆ
ขนร่วงเฉพาะจุด โดยเฉพาะรอบหู ใต้คาง ขาหนีบ หรือระหว่างนิ้ว
หากสังเกตดีๆ อาจเห็น “จุดสีส้มจิ๋ว” ติดอยู่ตามขนหรือผิวหนัง
“ไรส้มตัวโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ 0.2–0.3 มม. เท่านั้น และตัวอ่อนมักมีสีส้มสด ซึ่งบางครั้งสามารถเห็นด้วยตาเปล่าได้เมื่อรวมกันหลายตัว”
– ข้อมูลจาก MSD Veterinary Manual
หลายคนเข้าใจว่าโรคนี้เกิดกับแมวที่ออกนอกบ้านเท่านั้น
แต่ความจริงคือ...
“ไรส้มสามารถติดมากับรองเท้า เสื้อผ้า หรือของใช้ แล้วกระโดดขึ้นสัตว์เลี้ยงภายในบ้านได้เช่นกัน” – ข้อมูลจาก iCatCare UK
แมวที่ชอบนอนริมระเบียง/สนามหญ้า
บ้านที่มีหมาเลี้ยงร่วมกันและหมาออกไปนอกบ้าน
เจ้าของที่เพิ่งไปตั้งแคมป์ หรือเดินป่ากลับมา
เคล็ดลับ:
หากแมวเริ่มคันช่วงฤดูฝน หมั่นตรวจผิวหนังในจุดอับบ่อยๆ เช่น รักแร้ ขาหนีบ และรอบใบหู
แม้จะคันเหมือนกัน แต่การรักษาไรส้มต่างจากหมัดหรือเห็บพอสมควร
เพราะตัวไรมีวงจรชีวิตเฉพาะ และตอบสนองต่อยาบางชนิดเท่านั้น
ใช้ยากลุ่มกำจัดไร เช่น Fipronil หรือ Selamectin (ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์)
อาบน้ำด้วยแชมพูฆ่าไร (สูตรอ่อนโยนเฉพาะสัตว์)
ใช้ยาทาภายนอกเพื่อบรรเทาอาการอักเสบและคัน
กรณีรุนแรงอาจต้องให้ยากิน หรือยาสเตียรอยด์ควบคุมอาการ
ข้อควรรู้:
ห้ามใช้ยาของหมากับแมวเด็ดขาด เพราะแมวแพ้สารหลายชนิดในยาของสุนัข เช่น Permethrin
แม้ไรส้มจะดูเหมือนภัยลับๆ แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมาก ด้วยการจัดการสิ่งแวดล้อมและดูแลแมวให้เหมาะสม
เลี่ยงให้แมวออกไปเดินเล่นในหญ้าชื้นช่วงหน้าฝน
ทำความสะอาดพื้นที่บ้าน/สนามหญ้าอย่างสม่ำเสมอ
ซักผ้าปูที่นอนแมว และดูดฝุ่นเบาะนอนทุกสัปดาห์
ใช้ยาหยอดหลังป้องกันไรแบบรายเดือน (ปรึกษาสัตวแพทย์)
“การใช้ยาหยดหลังป้องกันไรเดือนละครั้ง ช่วยลดโอกาสติดไรส้มได้ถึง 85–90%” – จากการศึกษาของ European Journal of Veterinary Dermatology
ไรส้มอาจเป็นศัตรูตัวจิ๋วที่เราไม่เห็น
แต่ทิ้งผลลัพธ์ไว้ชัดเจน ทั้งอาการคัน ผิวหนังอักเสบ และพฤติกรรมเปลี่ยนไปของแมวที่คุณรัก
การเข้าใจโรคนี้ตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้คุณป้องกันและดูแลแมวได้ทันเวลา
และที่สำคัญคือ… คุณไม่ต้องเห็นแมวคันจนต้องข่วนตัวเองจนเลือดซิบอีกต่อไปครับ
Hashtag Strategy
#ไรส้มในแมวคือเรื่องจริง #แมวคันอย่านิ่งดูดาย #ตัวเล็กแต่คันแรง #Lazadogดูแลผิวแมว #แมวไร้ไรแมวไร้คัน
อยากรู้วิธีดูแลน้องหมา&แมวให้มีความสุขในทุกวัน?
ติดตามบทความน่ารักๆ แบบนี้ได้ที่ Lazadog.com/blog
หรือแชร์ประสบการณ์กับเราได้ในคอมเมนต์ด้านล่างเลยครับ
by Prasobsook Saisud – Founder Lazadog.com
เผย 5 ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโรคไรส้มในแมว (Trombiculiasis) ทำไมแมวคันบ่อยช่วงหน้าฝน วิธีสังเกต อาการ และเทคนิคป้องกันไม่ให้แมวโดนไรตัวจิ๋วเล่นงาน
ไรส้มในแมว, Trombiculiasis, แมวคันไม่หาย, โรคผิวหนังแมว, แมวแพ้ไร, ยารักษาไรแมว, แมวคันช่วงหน้าฝน, Lazadog Thailand
ถ้าคุณอยากได้ “แผ่นพับเช็คอาการคันจากไรในแมว” หรือ “ตารางป้องกันปรสิตภายนอกแบบรายเดือน” แจ้งมาได้เลยครับ ผมยินดีส่งให้ฟรี สำหรับทาสที่รักสุขภาพแมวแบบเต็มใจ!
Doglala – Social for Pet Lovers doglala.com