เปิด 5 สถิติน่ารู้ “น้ำในช่องท้องน้องหมา” อย่าคิดว่าแค่อ้วน เพราะบางทีมันคืออาการฉุกเฉิน

หลายคนอาจเคยเห็นน้องหมาที่ท้องป่องเหมือนอ้วน หรือเหมือนกินเยอะ
แต่ความจริงแล้ว… ถ้าน้องหมาท้องโตแบบผิดธรรมชาติ กดแล้วรู้สึกเหมือนมีน้ำไหล คลำแล้วนิ่มแปลกๆ — นั่นอาจไม่ใช่ไขมัน แต่คือน้ำในช่องท้อง!

และเบื้องหลังของ “ท้องป่องแบบอันตราย” นี้ อาจเกี่ยวข้องกับหัวใจ ตับ หรือแม้แต่ระบบน้ำเหลือง
วันนี้ผมขอชวนคุณมารู้จักกับ 5 สถิติน่ารู้เกี่ยวกับภาวะน้ำในช่องท้อง (Ascites) เพื่อให้คุณสังเกตน้องหมาได้ทันก่อนอาการจะลุกลามครับ!

1. ภาวะน้ำในช่องท้อง “เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจในหมาถึง 46%”

จากข้อมูลของ American College of Veterinary Internal Medicine (ACVIM)
พบว่า หมาที่มีน้ำในช่องท้องกว่า 46% มีสาเหตุมาจาก “หัวใจห้องขวาทำงานล้มเหลว” หรือเรียกอีกชื่อว่า right-sided heart failure
ซึ่งเป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถส่งเลือดกลับได้ ทำให้มีแรงดันย้อนกลับมาสะสมในช่องท้อง

อาการที่พบร่วม:

• หายใจหอบง่าย

• เหงือกซีด

• นอนนานกว่าปกติ

• ช่องท้องป่อง ไม่สัมพันธ์กับน้ำหนักโดยรวม

ข้อควรรู้: โรคหัวใจในหมาบางสายพันธุ์อย่างบ็อกเซอร์ โดเบอร์แมน หรือบีเกิ้ลมีโอกาสพัฒนาไปสู่ภาวะนี้ได้สูง

2. 30% ของเคสน้ำในช่องท้อง “มาจากโรคตับเรื้อรัง” เช่น พยาธิใบไม้ตับหรือภาวะตับแข็ง

ข้อมูลจาก Cornell University Veterinary Specialists ชี้ว่า
ตับมีบทบาทสำคัญในการควบคุมของเหลวในร่างกาย ถ้าตับเสื่อม หรือมีพยาธิสะสม จะส่งผลให้โปรตีนในเลือดลดลง ทำให้น้ำซึมเข้าสู่ช่องท้อง

ปัจจัยเสี่ยง:

• อาศัยในพื้นที่มีพยาธิใบไม้ตับ เช่น แถบภาคอีสาน

• เคยกินของดิบ เช่น ปลาดิบ ตับหมูไม่สุก

• มีประวัติตับอักเสบเรื้อรัง

กลเม็ด: ตรวจเลือดเช็กค่าตับเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในหมาสูงอายุ หรือหมาที่เคยกินอาหารไม่สุกมาก่อน

3. หมาอายุมากกว่า 8 ปี “มีโอกาสเจอภาวะ Ascites สูงกว่าหมาหนุ่มสาวถึง 3 เท่า”

จากการศึกษาใน Journal of Veterinary Internal Medicine
พบว่า หมาอาวุโสมีโอกาสเกิดโรคระบบใน (เช่น หัวใจ ไต ตับ) ได้มากขึ้นตามอายุ ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะ Ascites โดยตรง
นอกจากนี้ ความสามารถในการระบายน้ำออกจากร่างกายจะลดลง ทำให้น้ำสะสมได้ง่ายขึ้น

อาการที่มักเจอ:

• ท้องโตแต่ขาผอม

• เดินช้า อุ้งเท้าบวม

• หายใจถี่เมื่ออากาศร้อน

• ไม่อยากอาหาร

เคล็ดลับ: หากมีอาการแบบนี้ อย่ารอจนเห็นน้อง “หอบ” — พาไปตรวจเลือดและอัลตราซาวด์ทันที

4. การวินิจฉัยภาวะน้ำในช่องท้อง “ต้องใช้การเจาะดูดของเหลวร่วมกับอัลตราซาวด์”

หมอสัตว์จะไม่ใช้การคลำอย่างเดียวเพื่อฟันธงนะครับ
ต้องใช้เครื่องอัลตราซาวด์เพื่อดูของเหลว และเจาะดูน้ำเพื่อตรวจลักษณะ (เช่น สี กลิ่น การติดเชื้อ หรือเซลล์ผิดปกติ)
เพราะสาเหตุของ Ascites มีได้หลายอย่าง และบางชนิด (เช่น มะเร็ง) ต้องแยกให้ชัด

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ:

• ตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง: 2,000–4,000 บาท

• เจาะน้ำในท้อง + ตรวจน้ำ: 1,500–3,500 บาท

• ตรวจเลือดร่วม: 1,000–2,500 บาท

เทคนิคเสริม: เตรียมข้อมูลสุขภาพย้อนหลังน้องหมา เช่น ประวัติอาหาร โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ เพื่อให้หมอวินิจฉัยเร็วขึ้น

5. ถ้าได้รับการวินิจฉัยและดูแลเหมาะสม “น้องหมาส่วนใหญ่จะสามารถควบคุมภาวะ Ascites ได้”

จากประสบการณ์ของโรงพยาบาลสัตว์ในเครือ VCA Animal Hospitals (US)
แม้ว่า Ascites จะดูน่ากลัว แต่ถ้าเจอสาเหตุเร็วและเริ่มรักษาไว น้องหมาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้ในระยะยาว
บางรายสามารถควบคุมได้ด้วยยา ขับน้ำ หรือเปลี่ยนสูตรอาหาร

การดูแลหลังรักษา:

• ใช้ยาขับปัสสาวะตามคำแนะนำ

• ลดโซเดียมในอาหาร

• จำกัดการออกแรง

• ตรวจติดตามหัวใจ/ตับ ทุก 3–6 เดือน

ข้อควรรู้: หมาไม่ควรกินของเค็ม/รสจัดเด็ดขาด เพราะจะกระตุ้นการคั่งของน้ำมากขึ้น

ภาวะน้ำในช่องท้องน้องหมาไม่ใช่แค่เรื่องของ “หมาอ้วน” หรือ “พุงป่อง”
แต่คือสัญญาณที่บอกว่า “ร่างกายน้องอาจกำลังส่งเสียงขอความช่วยเหลือ”
และถ้าคุณสังเกตเร็ว พาไปหาหมอไว และดูแลอย่างถูกต้อง น้องหมาก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างร่าเริงได้อีกครั้ง

อย่ารอให้พุงน้องขยับได้เองตอนเดิน ถึงค่อยเช็กนะครับ!

#น้องหมาท้องป่องไม่ใช่อ้วนเสมอไป #น้ำในท้องหมาอย่าปล่อยไว้นาน #โรคหัวใจตับไตเกี่ยวกันหมด #สุขภาพหมาดีเริ่มจากเจ้าของใส่ใจ #Lazadogห่วงสุขภาพลึกถึงช่องท้อง

อยากรู้วิธีดูแลน้องหมา&แมวให้มีความสุขในทุกวัน?
ติดตามบทความน่ารักๆ แบบนี้ได้ที่ Lazadog.com/blog
หรือแชร์ประสบการณ์กับเราได้ในคอมเมนต์ด้านล่างเลยครับ

by Prasobsook Saisud – Founder Lazadog.com

Doglala – Social for Pet Lovers doglala.com