เปิด 5 สถิติน่ารู้ “พิษยาหนูในหมา” อันตรายถึงเลือดหยุดไหล อย่าคิดว่าไม่ร้ายแรง!
ยาหนูอาจดูเหมือนของไกลตัว แต่ในความจริง มันคือหนึ่งใน สาเหตุหลักของภาวะเลือดไม่แข็งตัวในหมา (Multi-anticoagulant rodenticide poisoning) ที่พบบ่อยในคลินิกสัตวแพทย์ไทย โดยเฉพาะหมาที่อยู่ในเขตชุมชน เกษตร หรือมีบ้านติดร้านค้า/โรงงาน
ปัญหาคือพิษชนิดนี้ออกฤทธิ์ “ช้า” ทำให้หลายคนไม่รู้ตัว จนกว่าน้องหมาจะเลือดออกภายใน หรือมีอาการหนักมากแล้ว ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาแบบถูกจุดและทันเวลา อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยครับ
วันนี้ผมจะพาคุณเจาะลึกผ่าน “5 สถิติน่ารู้” ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจพิษยาหนูแบบทะลุทะลวง พร้อมเคล็ดลับช่วยให้น้องรอดกลับมาเลียหน้าคุณได้อีกครั้งครับ!
ตามข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และรายงานของกรมปศุสัตว์ พบว่า
ยาหนูที่ใช้ในไทยมากกว่า 80% มีสารประเภท Anticoagulant เช่น Warfarin, Bromadiolone, Difenacoum ฯลฯ
ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของวิตามิน K – ตัวสำคัญที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว
พิษออกฤทธิ์ช้า 2–5 วันหลังจากกิน
ทำให้หมามีเลือดออกทั้งที่ไม่มีแผล เช่น เลือดออกปัสสาวะ, เลือดกำเดา, เลือดในอุจจาระ
อาจถึงขั้นเลือดออกในปอด สมอง หรือในช่องท้องแบบไม่รู้ตัว
ข้อควรรู้: แม้หมาจะกินไปแค่เล็กน้อย แต่ถ้าเป็นชนิด “long-acting” เช่น Brodifacoum ก็ทำให้อาการรุนแรงได้นานถึง 3–4 สัปดาห์เลยครับ
ข้อมูลจาก Journal of Veterinary Emergency and Critical Care ระบุว่า
อัตราการรอดชีวิตของหมาที่ได้รับพิษลดลงจาก 90% เหลือ 35% ถ้าไม่ได้รับวิตามิน K ใน 2 วันแรก
หายใจหอบหรือเสียงฟืดฟาด (อาจมีเลือดในปอด)
มีจ้ำเลือดตามตัว เหงือกซีด
ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือด
เดินเซ อ่อนแรงผิดปกติ
เทคนิค: หากสงสัยว่าหมาอาจได้รับพิษ แต่ยังไม่มีอาการ ให้รีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อ “ทำให้อาเจียน” และเริ่มวิตามิน K ทันที ไม่ต้องรอครับ!
ข้อมูลจากเคสในโรงพยาบาลสัตว์รัฐและเอกชนในไทย พบว่า
25% ของหมาที่ได้รับพิษยาหนู เกิดจากการวางยาเพื่อกำจัดหนูรอบบ้าน โดยเจ้าของไม่รู้ว่าหมาไปกินเข้า
เช่น ในฟาร์ม, ลานขยะ, โกดังสินค้า หรือแม้แต่ใต้บ้านไม้เก่า
อย่าวางยาหนูในที่ที่หมาเข้าถึงได้
ใช้กับดักแทน หรือใช้ยาหนูในกล่องปิดฝาเท่านั้น
สังเกตบริเวณที่หมาเล่นหรือขุดดินว่ามีเศษเม็ดยาสีชมพู/น้ำเงินอยู่หรือไม่
ข้อควรรู้: เม็ดยาหนูมักมีสีฉูดฉาดเพื่อให้สังเกตง่าย แต่สำหรับหมา... นั่นคือ “ของเล่นรสชาติแปลกใหม่”
วิตามิน K ต้องให้ต่อเนื่อง 2–4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของพิษ
แต่หลายเคสในไทย พบว่าหลังจากหมาดีขึ้นแล้ว เจ้าของหยุดยาเองหรือไม่ได้กลับไปตรวจเลือดซ้ำ ทำให้เลือดกลับมาไม่แข็งตัวอีก
วิตามิน K1 ทางปากหรือฉีด – ต้องตามโดสจากสัตวแพทย์
ตรวจค่า PT/PTT (Prothrombin Time) เพื่อดูการแข็งตัวของเลือด
ให้เลือดหรือพลาสมาถ้าหมามีเลือดออกมาก
เทคนิค: ห้ามหยุดยาเอง! ให้กลับไปตรวจเลือดก่อนตัดสินใจหยุดวิตามิน K นะครับ
หากเพิ่งรู้ว่าหมาเพิ่งกินยาหนูเข้าไป ช่วงเวลา 1–2 ชั่วโมงแรกคือ “Golden Period”
ที่สามารถทำให้น้องอาเจียน หรือดูดซับพิษได้ด้วย Activated Charcoal และป้องกันการดูดซึมเข้ากระแสเลือด
Activated Charcoal: ช่วยดูดพิษก่อนเข้าสู่ร่างกาย
Emesis Induction: ทำให้อาเจียนเพื่อขับยาหนูออก
Plasma Transfusion: ถ้าระบบเลือดเสียหายมาก
ข้อควรรู้: ยิ่งพาไปช้าเท่าไหร่ โอกาสรอดยิ่งลดลงแบบดิ่งเหวครับ!
พิษยาหนูไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับคนรักน้องหมา
เพราะแม้จะออกฤทธิ์ช้า แต่พิษสามารถทำลายระบบเลือดแบบเงียบๆ ได้อย่างรุนแรง
หากเรารู้ทันสัญญาณ + รีบพาน้องไปหาหมอ + ป้องกันให้ดี โอกาสรอดสูงมากครับ!
จำไว้นะครับ: ถ้าคิดว่าน้องหมาไปกัดอะไรแปลกๆ มากะทันหัน อย่าเดาว่าไม่เป็นไร รีบให้หมอดูดีกว่าครับ!
#พิษยาหนูในหมาอันตรายถึงชีวิต #หมาเลือดออกต้องระวังพิษยาหนู #หมากินยาหนูอย่ารอให้สาย #Lazadogช่วยชีวิตหมา #รู้ทันพิษยาหนูช่วยหมาไว้ได้
อยากรู้วิธีดูแลน้องหมา&แมวให้มีความสุขในทุกวัน?
ติดตามบทความน่ารักๆ แบบนี้ได้ที่ Lazadog.com/blog
หรือแชร์ประสบการณ์กับเราได้ในคอมเมนต์ด้านล่างเลยครับ
by Prasobsook Saisud – Founder Lazadog.com
Doglala – Social for Pet Lovers doglala.com